(มีคลิป) ดีไซส์เหนือคำบรรยาย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในงาน Keynote เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่งดีไซน์และคุณสมบัติบางส่วนของทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น ตรงกับข่าวลือที่เผยออกมาก่อนหน้านั้นหลายอย่างเลยทีเดียว โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีคุณสมบัติใดน่าสนใจบ้าง และอัปเกรดจากรุ่นเดิมมากน้อยแค่ไหน ทีมงาน techmoblog สรุปไว้ให้แล้ว มาดูกันดีกว่าว่า สเปก และคุณสมบัติต่าง ๆ ของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีอะไรกันบ้าง
iPhone 7 Plus มาพร้อมกับกล้องแบบ Dual-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
สำหรับกล้องถ่ายรูปด้านหลังบน iPhone 7 Plus นั้น เป็นกล้องแบบ Dual-Camera ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เลนส์ ได้แก่ เลนส์ Wide 28mm (F/1.8) และเลนส์ Telephoto 56mm (F/2.8) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ทั้ง 2 เลนส์ สามารถซูมแบบ Optical ได้ 2 เท่า และซูมแบบ Digital ได้ 10 เท่า นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Machine Learning แยกฉากหลังออกจากฉากหน้า ทำให้สามารถถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ ซึ่งปกติภาพแบบนี้จะได้จากกล้องแบบ DSLR เท่านั้น
ส่วน iPhone 7 มาพร้อมกับกล้องแบบ Single-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมีคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ เหมือนกัน นั่นก็คือ รูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ไฟแฟลชแบบ Quad-LED (ไฟแฟลช 4 ดวง) สว่างกว่าเดิม 50%, กล้องด้านหน้า ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.2 (อัปเกรดจาก 5 ล้านพิกเซลบน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus) และมีระบบกันสั่นแบบ OIS ทั้งบน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
เพิ่มคุณสมบัติในการกันน้ำ กันฝุ่น
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับคุณสมบัติด้านการกันน้ำ กันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 สามารถอยู่ในน้ำลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาที โดยเป็น iPhone รุ่นแรกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
ชิปเซ็ต Apple A10 Fusion แบบ Quad-Core Processor
ทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับชิปเซ็ต 64-bit Apple A10 Fusion แบบ Quad-Core Processor และ M10 Motion Coprocessor ซึ่งประมวลผลได้เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A9 บน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus ถึง 40%, เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A8 ถึง 2 เท่า ส่วนชิปประมวลผลกราฟิก เป็นแบบ Six-Core Processor เร็วกว่าบน Apple A9 ถึง 50%
นอกจากนี้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ยังรองรับเครือข่าย LTE มากถึง 25 ความถี่ พร้อมเทคโนโลยี LTE Advanced สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า iPhone 6 ถึง 3 เท่า สูงสุดที่ 450 Mbps
หน้าจอขนาดเท่าเดิม แต่เพิ่มความสว่างขึ้นอีก 25%
iPhone 7 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล ส่วน iPhone 7 Plus มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกฌซล แต่ปรับความสว่างของเทคโนโลยีแบบ Retina Display เพิ่มขึ้นอีก 25%
ปุ่ม Home แบบ 3D Touch 
นอกจากเทคโนโลยี 3D Touch จะอยู่บนหน้าจอแล้ว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ยังมาพร้อมกับปุ่ม Home แบบ 3D Touch ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีความแข็งแรงทนทานกว่าเดิม และตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ
ตัดขนาดความจุ 16 GB ออก เริ่มต้นที่ 32 GB แล้ว
นับว่าเป็นข่าวดีมากเลยทีเดียว เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับขนาดความจุเริ่มต้นที่ 32 GB แล้ว และตัดรุ่นขนาดความจุ 16 GB ออก โดยมีให้เลือก 3 ขนาดความจุด้วยกัน ได้แก่ 32 GB, 128 GB และ 256 GB
ตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกแล้ว
ตรงตามข่าวลือ เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกแล้ว ส่วนหูฟัง EarPods นั้น เป็นพอร์ตแบบ Lightning แทน แต่ถ้าหากมีหูฟังแบบปกติ สามารถใช้ Adapter ตัวแปลงพอร์ต 3.5 mm to Lightning ได้ ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดนี้ แถมมาให้ในกล่องแพ็กเกจ
AirPods หูฟังไร้สายสุดล้ำ
สำหรับ AirPods หูฟังไร้สายรุ่นใหม่นี้ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple W1 ด้วย Dual Optical Sensor และ Accelerometer Sensor จะทำหน้าที่ตรวจจับตัวตำแหน่งของ AirPods เมื่ออยู่ในหู เสียงเพลงก็จะดังขึ้น และหยุดเล่นเมื่อมีการถอดออกทั้ง 2 ข้าง หรือข้างเดียว และจะกลับมาเล่นเพลงให้อัตโนมัติเมื่อใส่กลับไปใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple ได้โดยไม่ต้องมีสวิตช์ หรือปุ่มกด เชื่อมต่อกับ Siri ด้วยการแตะ 2 ครั้ง
และด้วยคุณสมบัติของชิปเซ็ต Apple W1 บน AirPods ซึ่งใช้พลังงานน้อยมาก ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดย AirPods จะมีการวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
ลำโพงเสียงแบบสเตอริโอ ดังกว่าเดิม 2 เท่า
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตอริโอ ให้กำลังเสียงดังกว่า iPhone 6S ถึง 2 เท่า ทำให้มีช่วงไดนามิกของเสียงที่กว้างขึ้นและ Speaker Phone คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม
แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่าเดิม
ถึงแม้ภายในงาน จะไม่ได้มีการระบุถึงขนาดความจุแบตเตอรี่บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่ได้มีการเผยรายละเอียดว่า แบตเตอรี่บน iPhone 7 สามารถใช้งานได้นานกว่าบน iPhone 6S ถึง 2 ชั่วโมง ส่วนแบตเตอรี่บน iPhone 7 Plus ใช้งานได้นานกว่าบน iPhone 6S Plus 1 ชั่วโมง
ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำ ๆ มากมาย (อ่านฟีเจอร์ของ iOS 10 ต่อได้ที่นี่) โดย iOS 10 จะเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 กันยายนนี้
เพิ่มสีใหม่ สีดำเงา (Jet Black) และสีดำด้าน (Black)
สำหรับคนที่ชอบสีดำน่าจะถูกใจเป็นพิเศษ เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น เพิ่มสีใหม่ นั่นก็คือ สีดำ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ สีดำเงา (Jet Black) และสีดำด้าน (Black) ทำให้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน ได้แก่ Silver, Gold, Rose Gold, Black และ Jet Black ซึ่งรุ่นสีดำเงา Jet Black นั้น มีให้เลือกเฉพาะขนาดความจุ 128 GB และ 256 GB เท่านั้น
ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในสหรัฐฯ เป็นดังนี้
  • iPhone 7 ขนาด 32 GB ราคา $649
  • iPhone 7 ขนาด 128 GB ราคา $749
  • iPhone 7 ขนาด 256 GB ราคา $849
  • iPhone 7 Plus ขนาด 32 GB ราคา $769
  • iPhone 7 Plus ขนาด 128 GB ราคา $869
  • iPhone 7 Plus ขนาด 256 GB ราคา $969
สำหรับราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในไทย ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศราคาออกมาเช่นกัน แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับราคา iPhone 6S ตอนเปิดตัว ถือว่า มีราคาเท่ากันอยู่ที่ $649 นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ ราคา iPhone 7 ในไทย จะเริ่มต้นที่เท่าเดิม นั่นก็คือ 26,500 - 27,000 บาท
ส่วนราคา iPhone 7 Plus เมื่อเทียบกับ iPhone 6S Plus ตอนเปิดตัว ซึ่งอยู่ที่ $749 ถือว่า iPhone 7 Plus มีราคาแพงขึ้น $20 โดยราคา iPhone 6S Plus ในไทยตอนเปิดตัวอยู่ที่ 30,500 บาท ฉะนั้น มีความเป็นไปได้ที่ ราคา iPhone 7 Plus ในไทย อาจจะแตะราคาเริ่มต้นที่ 31,000 - 31,500 บาทได้ ทั้งนี้อยู่ที่ความผันผวนของราคาค่าเงินในช่วงเวลาที่จะวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดพรีออเดอร์ 9 กันยายน จำหน่าย 16 กันยายนนี้ (ยังไม่มีไทย)
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 9 กันยายนนี้ และวางจำหน่ายรอบแรก ในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2016 ในประเทศออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, จีน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, ลักเซมเบิร์ก, เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปรตุเกส, เปอร์โตริโก, สิงคโปร์, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และสหรัฐอเมริกา
ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายรอบที่ 2 คือวันที่ 23 กันยายน 2016 ในประเทศอันดอร์รา, บาห์เรน, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บัลแกเรีย, โครเอเชีย, ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก, เอสโตเนีย, กรีซ, กรีนแลนด์, เกิร์นซีย์, ฮังการี, ไอซ์แลนด์, เกาะแมน, เจอร์ซีย์, คอซอวอ, คูเวต, ลัตเวีย, ลิกเตนสไตน์, ลิทัวเนีย, มัลดีฟส์, มอลตา, โมนาโก, โปแลนด์, กาตาร์, โรมาเนีย, รัสเซีย, ซาอุดิอาระเบีย, สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ส่วนในประเทศอินเดีย วางจำหน่ายวันที่ 7 ตุลาคม 2016
สำหรับกำหนดการวางจำหน่าย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในไทย ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศออกมา แต่คาดว่า น่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยทีมงาน  จะอัปเดตความเคลื่อนไหวให้ทราบกันเป็นระยะ สามารถติดตามได้ที่นี่ครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

[รีวิว] Xiaomi Mi Mix ที่สุดของเรือธงหน้าจอไร้ขอบ

[รีวิว] Dengo ไมโครโฟนคาราโอเกะไร้สาย พร้อมลำโพงในตัว