รีวิว iPhone 6S พร้อมอัปเดต ราคา iPhone 6S ล่าสุด เครื่องหิ้ว 24/07/59
สำหรับกล่องแพ็กเกจของ iPhone 6S นั้น มีการสกรีนรูปปลาทอง ซึ่งแตกต่างจาก iPhone 6 ที่มาพร้อมกับกล่องแพ็กเกจสีขาวล้วน ไม่มีลวดลายใดๆ โดย iPhone 6S มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD IPS LCD (LED-Backlit) Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326 ppi) ซึ่งถือว่า ไม่แตกต่างไปจาก iPhone 6
ราคา iPhone 6S ล่าสุด เครื่องหิ้ว 24/07/59
ip6s 16 b/w/g/pk=21200 5p 21100 10p 21000
ip6s 64 b/w/g/pk=24800
ip6s 128 pk=26600
ip6s+ 16 w=23500 b/g=23800
ip6s+ 64 b/g/pk=27800
ip6s+ 128 b/w/g=29800 pk=30000
รีวิว iPhone 6S


สำหรับกล่องแพ็กเกจของ iPhone 6S นั้น มีการสกรีนรูปปลาทอง ซึ่งแตกต่างจาก iPhone 6 ที่มาพร้อมกับกล่องแพ็กเกจสีขาวล้วน ไม่มีลวดลายใดๆ โดย iPhone 6S มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD IPS LCD (LED-Backlit) Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326 ppi) ซึ่งถือว่า ไม่แตกต่างไปจาก iPhone 6

ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย กล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, เซ็นเซอร์ต่างๆ และลำโพงสำหรับสนทนา

ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่ม Home ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ Touch ID ที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว โดย Touch ID บน iPhone 6S นั้น มีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งสามารถสแกนได้เร็วขึ้น และแม่นยำกว่าเดิม โดยวงแหวนนั้น จะเป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง นั่นก็คือ สี Rose Gold นั่นเอง

ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM และปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มปิดเสียง

ด้านบนของตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใดๆ ส่วนด้านล่างตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา, พอร์ต Lightning และลำโพงเสียง


ส่วนดีไซน์ด้านหลังของ iPhone 6S นี้ ยังคงเหมือนกับ iPhone 6 โดยมีแถบเสาอากาศสีขาว ทั้งด้านบนและด้านล่างตัวเครื่อง ส่วนกล้องด้านหลัง ความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ True Tone Flash และไมโครโฟนตัวที่สอง สำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง นอกจากนี้ ยังรองรับการถ่ายคลิปวีดีโอ ความละเอียดระดับ 4K อีกด้วย
เปรียบเทียบ iPhone 6S vs iPhone 6 ต่างกันตรงไหน ?

ถ้าพูดถึงดีไซน์โดยรวม ระหว่าง iPhone 6 (ซ้าย) กับ iPhone 6S (ขวา) ต้องบอกว่า แทบจะไม่มีส่วนใดแตกต่างกันเลย โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD IPS LCD (LED-Backlit) Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326 ppi) ส่วนขนาดตัวเครื่องของ iPhone 6 นั้น อยู่ที่ 138.1 x 67 x 6.9 มิลลิเมตร หนัก 129 กรัม ในขณะที่ iPhone 6S หนากว่าเล็กน้อย อยู่ที่ 138.3 x 67.1 x 7.1 มิลลิเมตร หนัก 143 กรัม
สำหรับตัวเครื่องที่หนาขึ้น และหนักขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทคโนโลยี Force Touch กับ 3D Touch ที่เพิ่มเข้ามานั่นเอง






ส่วนดีไซน์รอบๆ ตัวเครื่อง จะเห็นว่า ทั้ง 2 รุ่นนี้ แทบจะไม่แตกต่างกันเลย ฉะนั้น สิ่งที่จะแยกความแตกต่างระหว่าง iPhone 6S กับ iPhone 6 ได้ ก็คงจะเป็น สีชมพู Rose Gold เสียมากกว่า แต่เชื่อว่า หลายๆ ท่านที่ซื้อมา สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการใส่ เคสไอโฟน อยู่ดี
รีวิว iPhone 6S : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น

สำหรับจุดขายของ iPhone 6S ก็คือ เทคโนโลยี Force Touch กับ 3D Touch นั่นเอง ด้วยการกดลงบนไอคอนค้างไว้ด้วยน้ำหนักพอสมควร (ถ้าหากน้ำหนักไม่มากพอ จะเป็นการ uninstall แอปพลิเคชันนั้นๆ) ซึ่ง 3D Touch คล้ายๆ กับ การคลิกขวาบนคอมพิวเตอร์นั่นเอง เป็นเมนูลัดเพื่อเข้าใช้งานแอปพลิเคชันนั้นๆ ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการใช้งานได้เช่นกัน

โดยวิธีนี้ สามารถใช้งานกับแอปพลิเคชันหลักๆ ของแอปเปิล ได้หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Message, กล้องถ่ายรูป, Apple Maps, Safari, Mail และอื่นๆ ซึ่งช่วงแรกๆ ที่ใช้งาน คงต้องบอกว่า ไม่ค่อยชิน เนื่องจากถนัดใช้แบบเดิมเสียมากกว่าครับ

สำหรับอินเทอร์เฟสบน iOS 9 นั้น ไม่แตกต่างจาก iOS 8 มากเท่าที่ควร โดยแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดจาก App Store จะถูกจัดเรียงบนหน้าจอ แต่ผู้ใช้สามารถสร้างโฟลเดอร์ เพื่อจัดหมวดแต่ละกลุ่มได้

การปัดจากบนลงล่าง จะเข้าสู่ Notification Center ระบบการแจ้งเตือนต่างๆ ส่วนการปัดจากล่างขึ้นบน จะเป็น Control Center เมนูลัดเพื่อตั้งค่าการใช้งาน เช่น เปิด-ปิด Wi-Fi, เปิด-ปิด Airplane Mode, ล็อกการหมุนของหน้าจอ, ปรับความสว่างของหน้าจอ รวมไปถึง การเข้าสู่แอปพลิเคชันอื่นๆ เช่น ไฟฉาย, นาฬิกาปลุก, เครื่องคิดเลข และกล้องถ่ายรูป

หน้าการใช้งานโทรศัพท์ มาพร้อมกับอินเทอร์เฟสเรียบง่าย โดยเมนูด้านล่างประกอบด้วย Favorites, Recents, Contacts, Keypad และ Voicemail

ส่วนกล้องถ่ายรูปนั้น มาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพให้เลือกหลายแบบด้วยกัน ซึ่งได้แก่ Photo เป็นภาพขนาดปกติ, Square ภาพถ่ายขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส, Pano ถ่ายภาพพาโนรามา ส่วนการถ่ายวีดีโอ มีให้เลือก 3 โหมด ได้แก่ Time-Lapse, Slo-Mo และ Video
นอกจากนี้ จุดเด่นของกล้องถ่ายรูปบน iPhone 6S นอกเหนือจากจะปรับความละเอียดของกล้องด้านหน้า เป็น 5 ล้านพิกเซล และกล้องด้านหลัง 12 ล้านพิกเซลแล้ว ยังได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ที่เรียกว่า Live Photos หรือการทำภาพนิ่งให้กลายเป็นภาพที่เคลื่อนไหว และขยับได้ ด้วยการเก็บเป็นภาพเคลื่อนไหว 1.5 วินาทีก่อนและหลังแตะชัตเตอร์ ซึ่งวิธีการดูภาพแบบ Live Photos ก็คือ กดลงไปที่รูปภาพนั้นตรงๆ ภาพนิ่งๆ ก็จะเคลื่อนไหวได้ครับ

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า กล้องด้านหน้า จะเพิ่มความละเอียดจาก 1.2 ล้านพิกเซล เป็น 5 ล้านพิกเซลแล้วก็ตาม แต่ iPhone 6S ไม่มีโหมดใบหน้าสวย เหมือนกับ มือถือรุ่นอื่นๆ ฉะนั้น ใครที่ชอบเซลฟี่แบบฟรุ๊งฟริ๊ง คงจะต้องดาวน์โหลดแอปฯ อื่นมาใช้เพิ่มเติม แต่สำหรับใครที่ชอบภาพถ่ายเซลฟี่แบบสมจริง และธรรมชาติ ไม่มีการปรับแต่ง ก็ถือว่า iPhone 6S ทำได้ดีเช่นกัน
นอกจากนี้ iPhone 6S ยังรองรับการถ่ายคลิปวีดีโอ ความละเอียดระดับ 4K (30 fps) อีกด้วย ซึ่งใครที่ชอบการถ่ายคลิปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รุ่นความจุ 16 GB คงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ เนื่องจาก คลิปขนาด 4K กินพื้นที่ในตัวเครื่องมากพอสมควร
สรุปส่งท้าย

ปกติแล้ว iPhone รุ่นที่ลงท้ายด้วย S นั้น มักจะไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แต่สำหรับ iPhone 6S นี้ น่าจะเป็นรุ่นแรกในบรรดา iPhone ทั้งหมด ที่มีการเปลี่ยนแปลงและอัปเกรดอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งชิปเซ็ต Apple A9, ปรับปรุงกล้องด้านหน้า และด้านหลัง, ปรับปรุง Touch ID รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Force Touch และ 3D Touch ที่ทำให้ iPhone 6S รุ่นนี้ ถือว่า อัดแน่นไปด้วยของดีมากมายเลยทีเดียว
ส่วนท่านที่ลังเลว่า จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนดี? ทีมงานอยากจะขอแนะนำไว้เล็กน้อย ในกรณีที่ท่านใช้ iPhone รุ่นเก่า อย่างเช่น iPhone 4, iPhone 4S, iPhone 5 หรือแม้แต่ iPhone 5S ก็ตาม น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ควรจะเปลี่ยนแล้วครับ ไม่ใช่แค่เรื่องฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น แต่หน้าจอก็ใหญ่กว่ารุ่นเดิมๆ อีกด้วย
แต่สำหรับท่านที่ยังถือ iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus อยู่ แน่นอนว่า หลายๆ ท่านคงเกิดการลังเลว่า จะคุ้มหรือไม่ที่จะเปลี่ยนเป็น iPhone 6S ในตอนนี้ ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวของทีมงาน ที่เป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้ iPhone 6 Plus ครั้งแรกที่เห็น iPhone 6S นั้น มีความรู้สึกว่า อยากเปลี่ยนเช่นกัน แต่เมื่อได้ทดสอบใช้งานไประยะหนึ่ง ก็ค้นพบว่า รุ่นที่ใช้อยู่อย่าง iPhone 6 Plus ก็ยังใช้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ฟีเจอร์ 3D Touch นั้น ยังไม่คุ้นเคยมากนัก สุดท้ายก็กดเข้าแอปฯ เหมือนเดิม หรือจะเป็นกล้องถ่ายรูป ที่แม้ว่า ในครั้งแรกจะรู้สึกดีใจที่ แอปเปิล อัปเกรดกล้องแล้ว แต่ตัวผมเอง ก็ไม่ได้ใช้งานกล้องมากนัก ก็เลยตัดประเด็นตรงนี้ออกไป และอีก 2 ประเด็นที่สำคัญ ก็คือ ความจุเริ่มต้นของ iPhone 6S นั้น ยังอยู่ที่ 16 GB เหมือนเดิม ถ้าพูดถึงด้านการใช้งานจริงๆ แล้ว 16 GB ไม่ค่อยพอครับ แต่จะซื้อ 64 GB ก็รู้สึกเสียดายเงินเล็กๆ อยากให้ แอปเปิล เปิดตัว iPhone ความจุ 32 GB มามากกว่า นอกจากนี้ ราคาเปิดตัว iPhone 6S สูงกว่าเดิม พูดตรงๆ ก็คือ เสียดายเงินครับ :D เลยตัดใจ ใช้ iPhone 6 Plus เหมือนเดิม และรอ iPhone 7 ดีกว่า
หวังว่า รีวิว iPhone 6S นี้ คงจะเป็นประโยชน์ และช่วยให้เพื่อนๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะครับ :)